“โลกาภิวัตน์กับการจัดการวัฒนธรรม” โดย อ. ประภัสสร โพธิ์ศรีทอง
ปัจจุบันความรู้ว่าด้วยการจัดการวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ท้าทายคนทํางานวัฒนธรรม ให้ต้องพิจารณาคําว่าวัฒนธรรม ในความหมายที่กว้างมากขึ้นกว่าในอดีต วัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องของการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีเพียงอย่างเดียว และไม่ใช่เป็นเรื่องของการจัดงานประเพณีตามเทศกาลเท่านั้น ยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่คนทํางานงานวัฒนธรรมต้องพัฒนาให้เท่าทัน ก่อนที่จะพูดถึงการจัดการวัฒนธรรม เราอาจจะต้องพูดถึงปัญหาต่าง ๆที่รุมเร้างานวัฒนธรรม จนทําให้เกิดแนวคิดเรื่องการจัดการวัฒนธรรมขึ้น เราลองมาถอดรหัสดูซิว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่ท้าทายงานวัฒนธรรมในปัจจุบัน อะไรบ้างที่ส่งผลกระทบโดยตรง สิ่งเหล่านี้ประกอบด้วย กระแสโลกาภิวัตน์ หรือ ยุคที่ข้อมูลข่าวสารหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่งของโลกส่งผลกระทบถึงส่วนอื่น ๆของโลกได้อย่างรวดเร็ว หรือที่บางคนเรียกว่าโลกไร้พรมแดน เช่น เร็ว ๆ นี้ มีงานที่ยิ่งใหญ่ของโลกเกิดขึ้นและส่งผลกระทบกับคนไทยมาก นั่นก็คือบอลโลก ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่กีฬาประจําชาติไทยเลย แต่เวลามีการแข่งขันก็ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการพนัน เกิดการรวมกลุ่มของแฟนบอลทีมชาติต่าง ๆ มีการทายผลฟุตบอล ฯลฯ
โลกาภิวัตน์ส่งผลต่อการเร่งอัตราการเคลื่อนย้ายถ่ายเทวัฒนธรรมโลก จากซีกโลกหนึ่งไปอีกซีกโลกหนึ่ง เป็นการเคลื่อนย้ายถ่ายเท อย่ามองว่าโลกาภิวัตน์ทําให้เรารับกระแสวัฒนธรรมตะวันตกฝ่ายเดียว จริง ๆ แล้วโลกตะวันตกก็รับของเราไป เช่น เขารับเรื่องการดูแลสุขภาพ เอาโยคะ เอาอะไรดี ๆ ของเราไป แล้วผลิตเป็นสื่อต่าง ๆ ที่สร้างกระแสได้แล้วเอากลับมาขายในโลกตะวันออก ทั้ง ๆ ที่ โยคะ มีต้นกําเนิดอยู่ที่อินเดีย ถ้าถามว่าให้คนไทยเรียนโยคะ อาจไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่มันไปผ่านกลิ่นไอของขนมปังที่อเมริกาแล้วกลับมา เราจะรู้สึกว่ามันน่าสนใจมากขึ้น ฉะนั้นโลกาภิวัตน์ เองทําให้เกิดกระแสการเคลื่อนย้ายถ่ายเท สิ่งที่เข้ามากับกระแสโลกาภิวัตน์ คือ บริโภคนิยม และวัตถุนิยม ดังจะเห็นได้ว่าเราหลายคนนิยมซื้อของที่มี อาจจะเกินความต้องการ
รถยนต์กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 โทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่ 6 มีอะไรเต็มไปหมดทั้ง ๆ ที่ เมื่อก่อนเราอยู่ได้โดยไม่มีวัตถุบางชนิด แต่พอวัฒนธรรมบริโภคนิยม เข้ามา เรารู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ เพราะผู้คนรอบข้างเราเปลี่ยนไปหมด เมื่อเพื่อนทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ เราก็ต้องมี ลูกไปโรงเรียนก็เกิดความห่วงใย
อาจจะต้องซื้อโทรศัพท์มือถือให้เกิดเป็นกระแสวัตถุนิยมที่นําไปสู่ประเด็นปัญหาทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น เช่น ในอดีต เรามองคนและให้ความเคารพคนที่คุณงามความดี ความรู้ ปราชญ์ท้องถิ่นหลาย ๆ ท่าน เรายกย่องท่านอย่างมากในฐานะผู้รู้ หรือ เป็นปูชนียบุคคล ที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับคน แต่ภายใต้กระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เริ่มตัดสินคนจากวัตถุ การแต่งกาย ชื่นชมคนที่มีฐานะ มีบ้านหลังใหญ่ ๆ มากกว่า ซึ่งอาจไม่ใช่กับทุกคน แต่ก็มีกระแสทําให้เกิดความคิดนี้ขึ้นมาท้าทายวัฒนธรรมเดิม ๆ ของเรามากขึ้นทุกทีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ก็ คือ ความเป็นทาสเทคโนโลยี ทุกวันนี้แทบทุกบ้านมีคอมพิวเตอร์ เพราะคิดว่าคอมพิวเตอร์มีประโยชน์ เช่นเดียวกับที่เมื่อก่อนทุกบ้านต้องมีโทรทัศน์เพื่อรับข่าวสาร แต่เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์นําพาอะไรต่าง ๆนานา จนเกิดปัญหาเด็กติดเกมส์ การสื่อสารออนไลน์ที่นําไปสู่ปัญหาสังคมอีกมากมาย เพราะการใช้เวลาว่างเปลี่ยนไปจากเดิม อยู่ที่ว่าเด็กเลือกที่จะตามใคร เลือกตามเพื่อน หรือตามที่พ่อแม่ช่วยดูช่วยคัดสรรให้ สื่อก็เป็นสิ่งสําคัญ ที่เข้ามาท้าทายวัฒนธรรมอันดีงามของเรา เราจะเห็นว่าสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ นิตยสาร หนังสือ ต่าง ๆ เป็นแรงจูงใจให้คนทําตาม ถ้าใครอ่านหนังสือหัวนอกที่เราซื้อแฟรนไชส์จากต่างประเทศ ได้สร้างกระแสให้ดาราไทย สร้างความโด่งดังให้ตัวเอง โดยเดินตามแฟชั่นดาราฮอลลีวู๊ด
ถ้ากระแสโลกาภิวัตน์ ผนวกเข้ากับเงินทุนก็ยิ่งสามารถสร้างสินค้าที่ทรงอิทธิพลในการสร้างค่านิยมแบบใหม่ ๆ ให้กับคนมากได้ยิ่งขึ้น เกิดต้นแบบหรือแม่พิมพ์ทางวัฒนธรรมในโลกยุคใหม่ กระแสแฟชั่นกางเกงลีวายส์ในกลุ่มวัยรุ่น ที่ผู้ผลิตสามารถทําเงินได้มากมาย นี่อาจจะเรียกว่าการสร้างต้นแบบวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาใหม่หรือเปล่า ทําให้คนรุ่นใหม่มีกระแสความนิยมในเรื่องแฟชั่น หรือ รูปแบการใช้ชีวิตที่เหมือนกันไป กระแสบริโภคนิยมที่สร้างค่านิยมให้กับคนรุ่นใหม่ ๆ นี่เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงสําหรับคนทํางานวัฒนธรรม จนเกิดคําว่า เฝ้าระวังขึ้นมา จะเห็นว่ากระทรวงวัฒนธรรมก็เริ่มจะงานในลักษณะนี้แล้ว และในหลาย ๆ ประเทศก็เริ่มต่อต้านกระแสบริโภคนิยมกันมากขึ้น โดยเฉพาะในองค์กรนอกภาคราชการ เพราะว่ารัฐบาลในหลายประเทศไปทําความตกลงอะไรระหว่างกันก็มักจะมุ่งผลทางเศรษฐกิจเป็นหลัก จนลืมผลกระทบทางสังคมและทางวัฒนธรรม หน่วยงานนอกภาคราชการจึงต้องลุกขึ้นมาคัดค้านและขอให้รัฐบาล ต้องตัดสินใจและทบทวนอะไรใหม่ เช่น กรณีให้ทบทวนการเปิดเขตการค้าเสรี ( FTA) กับอเมริกา เป็นต้น กระแสการพยายามปกป้องอัตลักษณ์หรือผลประโยชน์ของชาติเพิ่มมากขึ้น
เกิดเป็นการผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมขึ้นมาต่อสู้กับสินค้าวัฒนธรรมจากตะวันตก ที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ ชุด แดจังกึม ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
เพราะรัฐบาลเกาหลีที่มองเรื่องการพัฒนาประเทศจากรากฐานวัฒนธรรมของตัวเอง ( culture based development ) และพัฒนามาเป็นสินค้าวัฒนธรรมส่งออกไปขายในประเทศแถบเอเชีย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในอดีต การพัฒนาทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น กลุ่มประเทศที่มีน้ํามันก็จะรวยได้เร็ว แต่ปัจจุบัน เมื่อทรัพยากรธรรมชาติเริ่มร่อยหลอลง ทรัพยากรทางวัฒนธรรมได้กลายมาเป็นวัตถุดิบสําคัญในการพัฒนาเป็นสินค้าประเทศที่มีทุนทางวัฒนธรรม มีองค์ความรู้ มีเอกลักษณ์ ค่อนข้างเด่นชัด ยาวนาน ก็เริ่มจะพัฒนาสินค้าวัฒนธรรมขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ การสนับสนุนเงินทุนการผลิตสินค้าวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งจําเป็น ประเทศเกาหลีเป็นตัวอย่างที่ดีในการที่รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการลงทุนเพื่อพัฒนาสินค้าทางวัฒนธรรม โดยกําหนดนโยบายเรื่องการผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมสู่ตลาดเอเชียชัดเจนและให้การสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน เช่น อุตสาหกรรมภาพยนตร์ อุตสาหกรรมเพลง เกมส์คอมพิวเตอร์ ฯลฯภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ ชุด แดจังกึม ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะรัฐบาลเกาหลีที่มองเรื่องการพัฒนาประเทศจากรากฐานวัฒนธรรมของตัวเอง ( culture based development ) และพัฒนามาเป็นสินค้าวัฒนธรรมส่งออกไปขายในประเทศแถบเอเชีย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ประเทศไทยมีทุนทางวัฒนธรรมอยู่มากมาย เช่น อาหารไทย ซึ่งคนทั่วโลกรู้จักประเทศไทยจากอาหารที่มีชื่อเสียง คือ ต้มยํากุ้ง
เมื่อเราผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมใหม่ คือภาพยนตร์ที่ต้องการเปิดตัวสู่ตลาดโลก ก็ตั้งชื่อว่า ต้มยํากุ้ง ทั้ง ๆ ที่ในเรื่องไม่มีต้มยํากุ้ง เพื่อเปิดตัวว่าเป็นภาพยนตร์จากประเทศไทยซึ่งมีฉากต่อสู้ที่เผ็ดร้อนแบบรสชาดต้มยํากุ้ง และศิลปะการต่อสู้ในหนังก็เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่สามารถขายได้ เป็นการนําการตลาดเข้ามาใช้โฆษณา การสร้างสินค้าวัฒนธรรมต้องมีกระบวนการพัฒนาที่ดีเพื่อที่จะตอบสนองกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสมการจัดการทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้ทุนทางวัฒนธรรมที่เปรียบเสมือนวัตถุดิบ ถูกนําไปแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่มในเรื่องเศรษฐกิจ การนํามาพัฒนาประเทศ และอื่นๆ ได้อีกมากมาย
อีกสิ่งที่เราน่าจะต้องพิจารณา คือ มุมมองเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของคนต่างวัย หรือ มีช่องว่างระหว่างวัยในการมองวัฒนธรรม ในฐานะคนทํางานวัฒนธรรม เราน่าจะต้องคิดว่ามีวิธีไหนบ้าง ที่จะลดช่องว่างในการมองวัฒนธรรมลงได้ และหาวิธีการที่เหมาะสมที่คนต่างวัยสามารถเดินไปด้วยกันอย่างเข้าใจ เพราะช่องว่างที่เห็นในทุกวันนี้ คือ ผู้สูงอายุมักมองไปที่การรักษาวัฒนธรรมแบบเดิม ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะมองว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งทีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับของเก่า เป็นแบบแผนอันดีงามที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่สามารถสร้างใหม่ให้ทดแทนของเดิมได้ ต้องพยายามสืบทอดให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทําได้ และคาดหวังว่าคนรุ่นใหม่ควรจะต้องสนใจและช่วยสืบสานวัฒนธรรมแบบเดิม หลายคนมองว่า ของเก่าย่อมดีกว่าของใหม่ และกล่าวหาว่ากระแสวัฒนธรรมตะวันตก เป็นตัวทําลายวัฒนธรรมไทย ทั้งๆ ที่วัฒนธรรมตะวันตกมีกระแสคลื่นที่เข้ามาในสังคมไทยในช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่อดีต เพียงแต่ว่าความแรงความเร็ว มันจะเปลี่ยนไป แต่ในช่วงเวลาที่เราเป็นวัยรุ่นเราจะเห่อกับสิ่งเร้าใจใหม่ๆ มากกว่าจะสนใจวัฒนธรรมที่ผู้ใหญ่เห็นว่าดีงาม อันนี้ก็เป็นการมองวัฒนธรรมที่ต่างมิติเวลา คนช่วงหนึ่งๆ จะรับอะไรใหม่ๆ เหมือนกัน พอเราอายุมากขึ้นก็อาจจะมองว่าสิ่งที่เรารับมามันเป็นวัฒนธรรมที่มีคุณค่า เด็กรุ่นใหม่ก็มองว่าวัฒนธรรมไทยมีคุณค่า แต่อาจจะดูล้าสมัย ไม่เร้าใจในวัยของเขาที่ต้องการการแสดงออกมาก ๆ เค้าต้องการความสะใจทันใจ เข้าสมัยไม่ตกยุค
สรุปว่า เด็กรุ่นใหม่รู้ว่าของเก่ามีคุณค่าแต่มันไม่น่าสนใจ ในฐานะคนทํางานวัฒนธรรมและอยู่ในแวดวงวัฒนธรรม เราอาจจะต้องมองหาแนวทางที่จะทําให้ช่องว่างทางความคิดแบบนี้ลดลง
ในงานวัฒนธรรมปัจจุบันเราอาจจะไม่ได้มองเรื่องข้อมูลทางวัฒนธรรมหรือการสืบทอดทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว แต่มีคําใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาให้เราได้ยินอยู่เสมอๆ เช่น คําว่า ทุนวัฒนธรรม หรือ สินค้าทางวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ฯลฯ วัฒนธรรมมีความหลากหลาย และมีองค์ความรู้มากมายที่อยู่ในงานวัฒนธรรมที่สามารถพัฒนามาเป็นทุนวัฒนธรรมได้ ซึ่งในแง่ของการจัดการนั้นทุนวัฒนธรรมอาจ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทแรก คือ ทุนที่เป็นวัตถุ เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ งานหัตถกรรม เราจะเห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว อย่างโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่มีคุณค่าระดับชาติ ก็อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร แต่ขณะเดียวกันก็มีโบราณวัตถุอีกมากมายที่อยู่ในความครอบครองของวัด ชุมชน โรงเรียน สถาบันการศึกษาสิ่งเหล่านี้เป็นทุนทางวัตถุที่
สามารถนํามาใช้พัฒนาเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมได้
ประเภทที่สอง คือ ทุนภูมิปัญญา ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในวัตถุ หรือ เทคโนโลยีด้านต่างๆ มากมาย ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้และถ่ายทอดระหว่างกัน ซึ่งบางครั้งเรานึกไม่ออกว่ามันเป็นทุนจริงๆ จนกระทั่งมีคนเอาภูมิปัญญาของเราไปใช้ประโยชน์ เช่น กรณีที่ญี่ปุ่นไปจดลิขสิทธิ์ ฤาษีดัดตน ซึ่งเป็นทุนภูมิปัญญาของเรา ที่ญี่ปุ่นนําไปอ้างสิทธิ์ว่าเป็นทุนวัฒนธรรมของเขา เกิดเป็นปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ตามมา เมื่อก่อนเราอาจมองว่าวัฒนธรรมเป็นอะไรที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของมันเป็นของร่วมกันใครจะเอาไปศึกษาเผยแพร่ก็ไม่มีปัญหา แต่พอนําวัฒนธรรมมามาใช้เป็นสินค้า จึงเริ่มมีการมองว่าต้องมีลิขสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของ เพื่อป้องกันการแสวงกําไรที่ไม่มีการคืนผลประโยชน์ให้เจ้าของที่แท้จริง การเก็บข้อมูลจึงเป็นสิ่งสําคัญ เราต้องมีหลักฐานยืนยันว่าเป็นมรดกที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย เราจึงจะสามารถเรียกร้องสิทธิ์คืนมาได้ ถ้าอยู่ดีๆ ญี่ปุ่นเอาไปจดลิขสิทธิ์แล้วเราไม่มีหลักฐานข้อมูลรวบรวมเอาไว้เลย เราก็คงไม่มีหลักฐานที่ไปบอกได้ว่าภูมิปัญญานี้เป็นของเรา
ข้อมูลวัฒนธรรมมีหลายรูปแบบ หลายเรื่องราว เมื่อเราไปเก็บข้อมูลภาคสนามมาแล้ว เรานํามาใช้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้เป็นทุนทางวัฒนธรรมด้านไหนบ้าง หลายครั้งที่วัฒนธรรมที่เรารวบรวมหรือศึกษาวิจัยถูกเก็บไว้ในสํานักงาน โดยขาดการต่อยอดที่เกิดประโยชน์ เพราะขาดการจัดการข้อมูลลองถามตัวเองว่า บันทึกหรือภาพถ่ายที่เราเก็บข้อมูลภาคสนามมีการนํามาจัดระบบที่ดีพอหรือไม่เพราะทุกอย่างที่เราลงไปเก็บข้อมูล มันก็จะหายไปกับกาลเวลา บางคนที่เราสัมภาษณ์วันนี้ พรุ่งนี้เขาอาจจะไม่อยู่ให้เราสัมภาษณ์ แล้วข้อมูลที่เราได้จากเขาเป็นภูมิปัญญาและองค์ความรู้ มากมาย รูปถ่ายที่เราถ่ายมา เรามีการจัดการระบบหรือยัง ทุกวันนี้เราถ่ายรูปไปแล้วแต่ไม่ได้จัดระบบข้อมูล พอเราย้ายแผนก ย้ายฝ่าย ข้อมูลรูปก็ไม่มีใครอ่านเลย ไม่มีใครบอกได้ว่าถ่ายมาจากที่ไหน เมื่อไหร่ ภาพถ่ายที่เก็บไว้โดยไม่มีข้อมูลประกอบก็ไม่เกิดประโยชน์ ปัญหาที่พบอยู่บ่อยๆ ในหน่วยงานวิชาการหลายแห่ง ก็คือ บางทีเราเจอรูปถ่ายเก่าที่น่าสนใจมาก แต่ไม่มีใครรู้รายละเอียด ต้องมาสืบค้นกันใหม่ในฐานะคนทํางานวัฒนธรรมและเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมเราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราจัดการข้อมูลที่เรามีซึ่งเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ดีพอหรือยังเพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถนําไปพัฒนาเป็นสื่อการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ เช่น พิมพ์เผยแพร่ หรือ ผลิตเป็นซีดี และทําอะไรได้อีกมากมาย เอกชนหลายแห่งที่จัดทําศูนย์ข้อมูลที่นํารายได้มาสู่องค์กรได้ เช่น ศูนย์ข้อมูลภาพถ่ายของมติชน ที่ถ้าเราอยากได้ภาพถ่ายของเขา เราต้องเสียสตางค์ให้เขา เป็นธนาคารภาพที่ขายได้ ส่วนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเสียงก็มีตัวอย่าง เช่น สถาบันสมิธโซเนียน ของอเมริกาที่เก็บข้อมูลเสียงเพลงดนตรีพื้นบ้านจากทั่วโลกแล้วให้บริการแก่คนทั่วไป โดยเขาจัดส่งเจ้าหน้าที่มาบันทึกเสียงดนตรีพื้นบ้านทั่วโลก เสร็จแล้วก็เอาไปใส่ใน อินเตอร์เน็ต ใครจะดาวน์โหลดก็ได้ต้องเสีย 95 เซนต์ หรือประมาณ 30 กว่าบาทต่อเพลง แต่มีการแบ่งผลประโยชน์ให้กับเจ้าของเพลง สถาบันได้ค่าจัดการส่วนหนึ่ง เขาทําแบบไม่หวังผลกําไร แต่เป็นการอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้านที่กําลังจะหายไป ข้อมูลที่เรามีอยู่มากมาย มีแฟ้มจดบันทึกภาพถ่าย ม้วนวีดีโอเต็มไปหมดเลย ไม่รู้จะพัฒนาระบบข้อมูลยังไง ก่อนอื่นเราต้องนํามาสู่กระบวนการคัดสรรว่า เราจะพัฒนาข้อมูลเป็นอะไร เช่น ถ้าเราจะทําเป็นหนังสือเราอาจจะต้องกําหนดหัวข้อเรื่อง และกรอบเรื่อง แล้วจัดข้อมูลที่มีลงไปตามหัวข้อนั้นๆ หรือ หากจะทําเป็นแผนที่แหล่งที่ตั้งก็ได้ เช่น แผนที่แหล่งหัตถกรรมประเภทต่างๆ โดยกําหนดการกระจายตัวของแหล่ง ก็จะช่วยให้คนที่ใช้แผนที่นําไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น
ข้อมูลวัฒนธรรมจําเป็นจะต้องมีการพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ ในรุ่นเราเราอาจจะคัดสรรเรื่องราวนํามาถ่ายทอดเป็นสื่อต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อมูลเหล่านี้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนรุ่นต่อไป และเมื่อนําไปต่อยอดกับองค์ความรู้ด้านอื่นๆ ก็จะมีการเชื่อมต่อให้เกิดภาพรวมขององค์ความรู้ ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเองว่า ข้อมูลที่เรามีอยู่ได้มีการคัดสรรแล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็เป็นที่น่าเสียดายที่เราเก็บทุนทางวัฒนธรรมโดยไม่ทําให้เกิดประโยชน์ และก็จะสูญหายไปกับตัวเรา คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหาข้อมูลที่เพิ่มเติมได้ นอกจากห้องสมุด บางที่ในห้องสมุดก็ต้องยอมรับว่าไม่มีเรื่องที่ลึกซึ้ง ความรู้หลายอย่างด้านวัฒนธรรมมีอยู่ในตัวบุคคล จึงอยากให้ทุกท่านเริ่มเขียนหนังสือ อย่าไปคิดว่าจะเขียนได้ไม่ดี